หงส์สะดุด บุกพ่ายจิ้งจอก ทำแต้มหลุด เรือใบทิ้งห่าง 6 แต้ม !!
หงส์สะดุด บุกพ่ายจิ้งจอก กลับบ้านมือปล่าว แต่ยังรั่งอันดับ 2 รองจ่าฝูง ของตารางคะแนน โดยมีทัพ “สิงห์บลูส์” เชลซี ทำแต้มเท่าไล่ขึ้นมาทาบแล้ว แต่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล๊อป นั้นยังได้เปรียบที่ประตูได้เสียที่ยังดีกว่าที่ บวก 6 ประตู แต่ทำให้ทางทัพ “เรือใบสีฟ้า” แมนฯ ซิตี้ จ่าฝูงของตารางคะแนน ณ ปัจจุบันนี้มีแต้มทิ้งห่างออกไปอีก 6 แต้ม หลังเกม Boxing Day
หงส์สะดุด บุกพ่ายจิ้งจอก ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
คู่ดึก นัดคืนวันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 03.00 น. หรือตี 3 ตรงตามเวลาเมืองไทย ณ สนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เจ้าถิ่ง “จิ้งจอกแห่งสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 11 ของตารางคะแนน นัดล่าสุดเมื่อคืนวันอาทิตย์ในเกม Boxing Day
ลูกทีมของ แบรนด่อน รอดเจอร์ ยกทัพออกไปพ่าย จ่าฝูง อย่าง แมนฯ ซิตี้ ไปอย่างราบคาบ ด้วยสกอร์มโหราฬ ในเกมนั้นมีประตูเกิดขึ้นถึง 9 ประตู ซึ่งเป็นทางฝั่งเจ้าบ้าน ซิตี้ ถึง 6 ประตู แต่ทางฝั่ง เลสเตอร์ก็สามารถทำประตูได้ถึง 3 ประตูเช่นกัน
รอดเจอร์ ต้องหันกลับไปมองถึงแผงเกมรับ ที่มาเสียประตูถึง 6 ลูกในเกมเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ควรทำใจ ด้วยที่ต้องมาเจอกับสุดยอดทีม ของ เป็ป กวาดิโอร่า ที่ใครจะได้มาพบต้องหยั่นเกรงต่อดรีกรีแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่แล้ว และฤดูกาลนี้ก็ยังคงร้อนแรงไม่หยุด ยากที่จะมีทีมใดมาเทียบเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คู่แข่งของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในวันนี้ รองจ่าฝูงของตาราง ซึ่งกำลังทำสถิติไร้พ่ายมา 10 นัดติด
ในช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ทัพหงส์แดง นั้นได้พักอย่างเต็มอิ่ม หลังจากเกมที่บุกไปเสมอกับทัพ “ไก่เดือยทอง” ท็อดแน่มฮอท สเปอร์ส ในวันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา ถือว่าได้พักมาเป็นเวลานานถึง 10 วัน ก่อนที่จะโปรแกรมนัดนี้จะเริ่ม ก็มีส่วนที่ ลิเวอร์พูล นั้นถือครองความได้เปรียบอยู่เรื่องความฟิต จากที่ได้พักมาถึง 10 วัน ต่างจาดเลสเตอร์ที่เพิ่งออกไปเยือน แมนฯ ซิตี้ มาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นี่เอง เรียกได้ว่า เลสเตอร์ต้องเตะ วันเว้นวัน เลยทีเดียว
ก่อนเกม เลสเตอร์ ซิตี้ มีปัญหานักเตะมีอาการบาดเจ็บเพียบ แต่วันนี้ยังดีที่ได้ เจมี่ วาร์ดี้ กลับมาเป็นตัวจริง คู่กับ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ศูนย์หน้าทีมชาติไนจีเรีย ในแดนหน้า และยังมี เจมส์ แมดดิสัน เพลย์เมคเกอร์ตัวหลักของทีมทำเกมด้านหลัง
ทางด้านทีมเยือนรองจ่าฝูง ลิเวอร์พูล ที่ได้พักมาเต็มอิ่มนั้น ต้องอดใช้งาน ธิอาโก้ อัลคันทาร่า ที่เพิ่งหายจากโรค โควิด 19 มา ยังไม่พร้อมที่จะลงสนาม ทำให้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ต้องลงมาทำหน้าที่แทน แดนหน้ายังเป็น ดิโอโก้ โชต้า ที่ลงมาประสานงานกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่
แน่นอนว่านัดนี้ กุนซือชาวร็อค อย่าง เจอร์เก้น คล๊อป
ต้องกำชับลูกทีมของเค้า ให้เน้นเรื่องการได้ประตูแรกเร็ว เพื่อถือความได้เปรียบในเกมนี้ให้ได้ ด้วยการที่ทีมนั้นมีความสดกว่าแล้วด้วย เกมเริ่มมาได้ถึงนาทีที่ 14 ลิเวอร์พูลก็มาได้ลูกโทษที่จุดโทษ จากจังหวะที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทุ่มเร็วมาให้
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ป้ายกลับมาให้ ซาลาห์ เกี่ยวบอลก่อนลากหาช่องยิง!! แต่โดน วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ เกี่ยวจากด้านหลังล้มลงไปในเขตโทษ กรรมการไม่ลังเลชี้ให้เป็นจุดโทษทันที แล้วก็เป็น โม ซาลาห์ รับหน้าที่สังหาร บังโม ยิงด้วยซ้ายไปติดเซฟของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล แล้วดาวเตะอียิปต์พยายามโขกซ้ำก็ดันย้อยไปชนคาน ก่อนที่เกมรับของเลสเตอร์ จะกรูกันเข้ามาเคลียร์บอลออกไปจากเขตอันตรายได้
หลังจากที่ชวดประตูขึ้นนำ ทัพ “หงส์แดง” ก็บุกกระหน่ำใส่เจ้าบ้านอย่างหนัก ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จบ 45 นาทีแรก ทั้ง 2 ทีมยังทำได้เพียงเสมอกันอยู่แบบโนสกอร์
เริ่มครึ่งหลังมา ก็ยังคงเป็นทางฝั่งทีมเยือน ลิเวอร์พูล เปิดเกมส์รุกเข้าใส่อยู่ฝ่ายเดียว และมีโอกาศอยู่ 2 ครั้งจาก ซาดิโอ มาเน่ แต่ก็พลาด และยังไม่ผ่านมือของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ที่ป้องกันเอาไว้ได้ ฝั่งเจ้าบ้าน เลสเตอร์ นั้นที่ได้ตั้งรับอย่างมีน้ำอดน้ำทนรอจังหวะ และกลายมาเป็น
เลสเตอร์ นั้นที่ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน อเดโมล่า ลุ๊คแมน จ่ายบอลให้ ลุ๊ค โธมัส ลากขึ้นมาก่อนคืนกลับมาให้ ลุ๊คแมน กระชากลากจี้เข้าไปในกรอบเขตโทษด้านซ้าย ก่อนจะยิงเบียดเสาแรก ผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เข้าไปเจ้าบ้านขึ้นนำ 1-0

ลิเวอร์พูล ไม่ยอมง่ายๆ เปิดเกมบุกอย่างหนักเพื่อต้องการทวงประตูคืน ทั้ง โม ซาล่าห์ ที่การยิงของเค้าในวันนี้ ดูสะเปะสะปะ ออกทะเลจีนใต้ไปไกล แสนไกล หลุดฟอร์มเก่งที่เคยบรรเจิดไปมาก บวกกับจิตรวิญญาณของบิดา
ยอดผู้รักษาประตูยักษ์เดนส์ ของ แคสเปอร์ ที่โชว์จังหวะท่วงท่า อากับกริยา ซุปเปอร์เซฟ ป้องกันประตู นั้นเป็นตัวต้นฉบับของทางฝั่งคุณพ่อ ปีเตอร์ เป๊ะๆ เลย อะไรมันช่างเหนี่ยวหนึบขนาดนี้
จนทำให้เกมนี้ เลสเตอร์ สามารถคว้ำ ลิเวอร์พูล รองจ่าฝูงลงได้ และทาง แคสเปอร์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหววของ คุณพ่อ ปีเตอร์ นั้น รับ “แมนอ๊อฟ เดอะ แมตช์” ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
จากผลการแข่งขันที่จบลงไปนั้น ทำให้ทาง เลสเตอร์ พุ่งอันดับขึ้นมาอยู่ที่ 9 ของตาราง
ยังมีลุ้นพื้นที่ยุโรป ส่วนทางด้าน ลิเวอร์พูล กับการปราชัย 0-1
ทัพหงส์แดง รูดม่านปิดฉากปี 2021 ด้วยการจบสถิติยิงประตูได้ในนัดเยือนไว้ที่ 28 นัดของทุกรายการ
และทำให้ สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ในการเบียดแย่งชิงบัลลังก์จ่าฝูงคืนจาก แมนฯ ซิตี้ นั้นยากขึ้นกว่าเดิมเยอะ โดยคะแนนที่ห่างไปแล้ว 6 แต้ม ในตอนนี้
ณ เวลานี้คงทำได้เพียง รอเปิดโปรแกรม ของปีหน้าฟ้าใหม่ แฟนเดอะค๊อป ทั้งหลายนั้น คงต้องทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำ เพื่อเสริมผลบุญกุศลนั้น หนุนนำส่งทีมรัก จงไปถึงฝั่งฝัน แชมป์พรีเมียร์ลีก ให้ได้เทอญ!!!
โรมิโอ